อยากให้รอยสิวหายไว ต้องใช้วิธีไหนบ้าง?
ใครกำลังเครียดกับรอยสิวที่ทิ้งไว้บนหน้า ยกมือขึ้น! สิวหายแล้วแต่รอยยังอยู่คือฟีลเฟลมากแม่ จะถ่ายรูปก็ต้องพึ่งฟิลเตอร์ จะเจอใครก็ไม่มั่นใจ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะตอนนี้วงการสกินแคร์เค้ามีส่วนผสมดีๆ ที่ช่วยให้รอยสิวจางลงไวกว่าเดิมแบบเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น Niacinamide ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสสม่ำเสมอ, AHA/BHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออกไปอย่างอ่อนโยน และ Retinol ตัวดังที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ขอบอกเลยว่า ถ้าใช้ให้ถูกวิธี ผิวหน้าใสแบบ “ไม่ต้องง้อฟิลเตอร์” ก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน!

จริงๆ แล้วรอยสิวมีกี่ประเภท?
รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema)
เกิดจากสิวที่อักเสบจนหลอดเลือดขยายตัว หลังสิวหายจะยังคงมี “รอยแดง” อยู่ แม้ไม่มีหนองแล้ว ส่วนใหญ่จะค่อย ๆ จางไปเองใน 2–3 เดือน ควรใช้สกินแคร์ที่มี Niacinamide หรือ Centella Asiatica (ใบบัวบก) ช่วยปลอบผิวและลดรอยแดงได้ดี
รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
เป็นรอยที่เกิดจากเม็ดสี เมลานิน สะสมหลังสิวหาย มักเกิดกับสิวอักเสบหรือคนที่ชอบแกะสิว ควรเลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมอย่าง Vitamin C ช่วยให้ผิวกระจ่างใส AHA/BHA ผลัดเซลล์ผิวให้รอยดำจางไวขึ้น และNiacinamide ลดการเกิดเม็ดสีส่วนเกิน
รอยหลุมสิว (Atrophic Scars)
เกิดจากสิวอักเสบรุนแรงจนผิวเสียโครงสร้าง รักษายากกว่ารอยแดง รอยดำ ต้องใช้เวลานาน ควรใช้สกินแคร์ที่มี Retinol ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวเรียบขึ้น หรือถ้าอยากเห็นผลเร็ว อาจต้องใช้เลเซอร์ควบคู่กัน

5 วิธีลดรอยสิวให้จางไว ผิวใสแบบไม่ต้องง้อฟิลเตอร์!
1. ใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยสิวโดยตรง
ส่วนผสมคือหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูผิวเลยนะ ถ้าอยากให้รอยสิวดูจางไว ต้องเลือกสกินแคร์หรือครีมลดรอยสิวที่มีสารช่วยลดเลือนและฟื้นฟูผิวโดยเฉพาะ เช่น
- Niacinamide: ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดรอยแดง และปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ
- AHA/BHA: ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำออกอย่างอ่อนโยน เผยผิวใหม่ที่เรียบเนียนใส
- Retinol : ตัวแม่แห่งการลดเลือนรอยสิว ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น
ทริคคือ ใช้เวลากลางคืนดีที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ผิวซ่อมแซมตัวเอง จะเห็นผลไวกว่าเดิม!
2. อย่าบีบสิวเด็ดขาด!
อยากให้รอยหายไว แต่ถ้ามืออยู่ไม่สุขก็จบเลย การบีบสิวอาจทำให้ผิวอักเสบหนักกว่าเดิม และเกิดรอยดำหรือหลุมสิวได้ง่ายมาก ทำแทนได้โดยใช้แผ่นแปะสิวเพื่อลดการสัมผัส ทายาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (BHA) หรืออาจจะให้สิวสุกและยุบเองดีกว่า ผิวจะได้ไม่เป็นรอยเยอะ
3. ทาครีมกันแดดทุกวัน
ไม่ว่าฝนตกหรือแดดออก อย่าลืมกันแดดเด็ดขาด! เพราะรอยสิวจะเข้มขึ้นทันทีเมื่อเจอรังสี UV เลือกกันแดดค่า SPF 30 ขึ้นไป เนื้อบางเบา ไม่อุดตัน มีส่วนผสมของ Niacinamide หรือ Vitamin C จะช่วยลดรอยไปในตัว
4. มาสก์หน้าเติมความชุ่มชื้นให้ผิว
รอยสิวจะจางยากถ้าผิวขาดน้ำ! เพราะผิวแห้งจะซ่อมแซมตัวเองช้าลง ลองใช้มาสก์หน้าแบบให้ความชุ่มชื้น เช่น มาสก์ที่มีไฮยาลูรอนหรือเซราไมด์ จะช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น สัปดาห์ละ 2–3 ครั้งพอ ถ้ามีสิวอักเสบ ให้เลือกมาสก์สูตรอ่อนโยน ไม่มีแอลกอฮอล์หรือกลิ่นน้ำหอม
5. พักผ่อนให้เพียงพอ + ดื่มน้ำเยอะ ๆ
อันนี้ง่ายแต่ได้ผลสุด เพราะถ้านอนไม่พอ ผิวจะฟื้นตัวช้าและเกิดการอักเสบง่าย การดื่มน้ำเยอะ ๆ จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูสดใสขึ้นแบบจากข้างใน ลิสต์ง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวัน เช่น
- นอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6–8 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำวันละ 1.5–2 ลิตร
- กินผักผลไม้ที่มีวิตามินซีช่วยให้ผิวใส
รอยสิวจางลงแบบเห็นได้ชัด แค่ทำตาม 5 ข้อนี้
รอยสิวไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าเราใส่ใจและดูแลผิวให้ถูกวิธี เริ่มจากใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมอย่าง Niacinamide, AHA/BHA และ Retinol, ไม่บีบสิว, ทากันแดดทุกวัน และนอนพักผ่อนให้พอ ทำครบทุกข้อ รับรองเลยว่าผิวจะค่อย ๆ ใสขึ้น รอยสิวจางลงแบบเห็นได้ชัด จนเพื่อนต้องทักว่า “ไปทำอะไรมา หน้าใสเว่อร์!”