ฝ้าตรงโหนกแก้มมาจากไหน รักษายังไงให้ปลอดภัย เห็นผลจริง
7/4/2566
ปัญหาเรื่องฝ้าถือเป็นเรื่องหนักใจของสาว ๆ อย่างมาก เพราะรอยดำที่ชัดเจนอยู่บนใบหน้านั้นทำให้สูญเสียความมั่นใจสุด ๆ ยิ่งทิ้งไว้นานก็ยิ่งเข้มขึ้น ดังนั้นสาว ๆ ที่เป็นฝ้าอยู่ต้องอ่าน เพราะการเข้าใจเรื่องฝ้า จะทำให้เราเลือกวิธีการรักษาได้อย่างถูกต้อง และเห็นผลลัพธ์ที่ดี ดูแลผิวหน้าได้แบบปลอดภัยด้วย พร้อมที่จะเผยผิวกระจ่างใสออร่า แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมั่นใจในทุก ๆ วัน
สารบัญ
- ฝ้า(melasma) คืออะไร
- ฝ้าเกิดจากอะไรได้บ้างนะ
- ลักษณะอาการที่เกิดจากฝ้า
- ระยะเวลาที่ฝ้าจะยังคงอยู่
- ฝ้า มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
- ทำไมคนมักเป็นฝ้าตรงโหนกแก้ม
- วิธีการรักษาฝ้าตรงโหนกแก้มให้ได้ผลดีที่สุด
- เคล็ดลับป้องกันการเกิดฝ้า
- กล่าวมายาวขนาดนี้สรุปสั้นเลยละกันว่า…
- อ้างอิง
ฝ้า(melasma) คืออะไร
ฝ้า (melasma) คือ จุดหรือปื้นสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงเข้ม หรือบางครั้งมีสีดำที่อยู่บนผิวหน้า ซึ่งเกิดจากเม็ดเซลล์ใต้ผิวหนังเราทำงานผิดปกติไป หรือเรียกง่ายๆ ว่าเม็ดสีเมลานินทำงานมากขึ้นกว่าปกติ ผิวจึงเข้มขึ้น จึงมีรอยดำหรือที่เรียกว่าฝ้านั่นเอง สาวๆ จึงต้องรีบหาทางหยุดฝ้าด่วนๆ เพราะหากไม่ป้องกันไว้ มันจะขยายเป็นวงกว้างจนเป็นปื้น หรือฝันร้ายมาถึงขั้นเป็นฝ้าฝังลึก*รักษายากขึ้นกว่าเดิมไปอีกฝ้าเกิดจากอะไรได้บ้างนะ
หลายๆ คนคงสงสัยว่าฝ้าเกิดจากอะไรได้บ้างล่ะ ซึ่งการเกิดฝ้ามีปัจจัยหลายส่วนด้วยกัน แต่สิ่งที่ส่งผลให้การผลิตเม็ดสีเมลานินเพิ่มขึ้นนั่นแหละคือตัวการของการเกิดฝ้า โดยมีปัจจัยดังนี้ฮอร์โมน
ระดับของฮอร์โมนในตัวเราที่ไม่คงที่ส่งผลโดยตรงต่อการสร้างเม็ดสีเมลานินมากขึ้น เช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์อยู่ ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน หรือแม้แต่การกินยาคุม ก็ทำให้เกิดฝ้าได้ หรือฝ้าที่เข้มขึ้นกว่าเดิมได้ด้วย คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ต้องเตรียมใจไว้หน่อยนะคะแสงแดดตัวร้าย
แสงแดดคือปัจจัยที่สำคัญของการเกิดฝ้า เพราะมีรังสี UVA, UVB ที่มากระตุ้นให้เซลล์ใต้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น ใบหน้าที่โดนแดดก็จะเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้นด้วยเหมือนกันพันธุกรรม
พันธุกรรมที่ส่งต่อกันมาจากครอบครัวเนี่ย ก็มีผลต่อการเกิดฝ้าได้นะจ๊ะ โดยจากการวิจัยพันธุกรรมจะเอื้อต่อการเป็นฝ้าได้สูงถึง 50% เลยทีเดียว และปัจจุบันก็ยังไม่สามารถหายีนที่ควบคุมการเกิดฝ้าได้ ใครที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่มีฝ้าโอกาสที่เราจะเป็นนั้นก็สูงเหมือนกันขาดสารอาหาร หรือ ภาวะทุพโภชนา
เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ หรือมีปริมาณไม่เหมาะสม ก็ส่งผลต่อการเกิดฝ้าได้ เพราะพบผื่นแบบฝ้าในคนที่มีการทำงานของตับผิดปกติ และคนที่ขาดวิตามิน บี12 รู้แบบนี้แล้วสาวๆทานอาหารให้ครบ และหลากหลายกันด้วยนะเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน
ไฮโดรควิโนนสามารถใช้ในการรักษาฝ้า รักษาได้ เพราะเข้าไปยับยั้งเม็ดสีที่เข้ม แต่ก็ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากใช้เกินกำหนดอาจจะเกิดอันตรายต่อผิวได้เช่นกัน เช่น ผิวเป็นจุดด่างขาว หรือทำให้เกิดฝ้าถาวรลักษณะอาการที่เกิดจากฝ้า
โดยทั่วไปฝ้ามักจะมีลักษณะเป็นจุดดำหรือคล้ำ ที่เกิดบนใบหน้า โดยขึ้นทั้งฝั่งซ้ายและขวาปริมาณใกล้เคียงกัน และบริเวณที่พบได้บ่อยหรือเห็นได้ชัดคือ หน้าผาก โหนกแก้ม สันจมูก และช่วงริมฝีปากบน หรือส่วนอื่นๆที่โดนแสงแดดบ่อยๆ ก็เกิดฝ้าได้เช่นกันอย่าง แขน หรือลำคอ โดยฝ้าจะค่อยๆ เข้มขึ้น พบได้ในผู้หญิงวัย 30-40 ปี เนื่องจากอายุมากขึ้น ภาวะหมดประจำเดือน และฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงระยะเวลาที่ฝ้าจะยังคงอยู่
ระยะเวลาของฝ้าที่อยู่บนใบหน้าเรามีหลายรูปแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทและพฤติกรรมการดูแลด้วย อย่างคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ ฝ้าอาจจะจางและหายไปเมื่อสิ้นสุดการตั้งครรภ์ หากเกิดฝ้าจากแดดก็จะเป็นปัญหาผิวระยะยาวหน่อย หากเราป้องกันผิวหน้าจากแสงแดด ทาครีมช่วยเรื่องฝ้า ก็อาจจะจางลงเองแต่ต้องใช้เวลานานหลายเดือน ซึ่งบางคนฝ้าก็ยังคงฝังแน่นและไม่มีท่าทีว่าจะจางลงเลยฝ้า มีกี่ชนิด อะไรบ้าง
ฝ้ามีกี่ชนิด วันนี้เรามีคำตอบมาให้ ซึ่งฝ้ามีหลายประเภท และมีลักษณะเฉพาะตัว และใช้วิธีการรักษาแตกต่างกันไปด้วย โดยปัจจุบันฝ้ามี 5 ชนิด คือฝ้า
ฝ้าเกิดจากแดด หรือรังสียูวีเอ ยูวีบี ที่มากระทบหน้า ทำให้ผิวหน้าคล้ำเสีย และเกิดเป็นฝ้าได้ หรือการโดนแสงจากมือถือ จอคอม บ่อยๆ ก็สามารถเกิดเป็นฝ้าได้เช่นกันนะสาวๆ ต้องระวังเรื่องแสงมากขึ้นกว่าเดิมฝ้าลึก*
ฝ้าลึก*จะมีสีที่อ่อน อาจจะเป็นสีน้ำตาล หรือเทา เห็นขอบไม่ชัดเพราะอยู่ในชั้นผิวหนังที่ลึก*ลงไป ดังนั้นฝ้าประเภทนี้จึงรักษาได้ยาก และใช้เวลานานกว่าจะจางลง อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ้าลึก*เพราะการรักษานั้นอาจจะยากกว่าที่คิดฝ้าตื้น
ฝ้าตื้นจะเป็นลักษณะสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งเกิดได้ง่าย และรักษาให้จางลงได้ง่ายเช่นกัน โดยฝ้าตื้นจะเกิดในชั้นผิวหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอก แม้รักษาได้ง่ายแต่ใช้ครีมกันแดดป้องกันไว้ก็ย่อมดีกว่าแน่นอนนะคะสาวๆฝ้าเลือด
ฝ้าเลือดจะมีลักษณะเป็นปื้นสีแดง เกิดจากระบบเลือดในร่างกายมีความผิดปกติ หรือเกิดจากการใช้ยาเกี่ยวกับฮอร์โมน จึงทำให้เส้นเลือดฝอยทำงานผิดปกติไปด้วย หากโดนแสงแดดนานๆ ฝ้าเลือดก็มีโอกาสจะเข้มขึ้นได้เช่นกันฝ้าผสม
ฝ้าผสมสามารถเกิดขึ้นได้กับหลายคน คือ มีฝ้าหลายแบบอยู่บนใบหน้า ลักษณะจะเป็นสีเข้ม ขอบจาง รักษาด้วยวิธีที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบฝ้าลึก*และฝ้าตื้น ใครที่เป็นฝ้าผสมอาจจะต้อง รีบหาวิธีดูแลตัวเองกันด่วนๆทำไมคนมักเป็นฝ้าตรงโหนกแก้ม
ทำไมคนมักเป็นฝ้าตรงโหนกแก้ม เนื่องจากฝ้ามีสาเหตุมาจากแสงแดดด้วย เมื่อผิวกระทบกับแสงแดดเม็ดสีเมลานินก็จะมากขึ้น ซึ่งบริเวณแก้มนี่แหละที่โดนแสงแดดมากที่สุด หรือบางครั้งการรับฮอร์โมนบางชนิดเข้าไปก็ทำให้เกิดฝ้าบริเวณโหนกแก้มได้เช่นกัน จุดนี้จึงสามารถเกิดฝ้าได้ชัด และเกิดได้บ่อยกับสาวๆวิธีการรักษาฝ้าตรงโหนกแก้มให้ได้ผลดีที่สุด
ปัจจุบันการรักษาฝ้ายังไม่สามารถทำให้หายขาดได้ 100% แต่สามารถทำให้ฝ้าจางลงได้ ถ้ารู้จักป้องกันและใช้วิธีที่เหมาะสม ฝ้าบางชนิดสามารถจางลงเองได้เมื่อหยุดใช้ยา หรือมีฮอร์โมนเปลี่ยน เช่น คุณแม่หลังคลอด แต่เราก็มีเคล็ดลับดีๆ มาแนะนำสำหรับการช่วยรักษาฝ้าตรงโหนกแก้ม ซึ่งพิสูจน์มาแล้วว่าเห็นผลดีที่สุดใช้ครีมบำรุงที่มีสารช่วยรักษาฝ้า
การใช้ครีมบำรุงที่มีสารช่วยรักษาฝ้าถือเป็นวิธีที่นิยมอีกวิธีหนึ่ง เพราะมีความปลอดภัยและยังเห็นผลลัพธ์ที่ดี สาวๆ ที่มีฝ้าจึงมองหาตัวช่วยนี้กันเป็นอันดับแรกๆ โดยการเลือกใช้ เซรั่มรักษาฝ้า แอมพูลรักษาฝ้า ซึ่งทางการ์นิเย่เองก็มีแอมพูลเซรั่มที่คิดค้นมาช่วยรักษาปัญหาผิวหน้า เรื่องจุดด่างดำ ช่วยลดฝ้า โดนเฉพาะกันเลย นั่นก็คือ ไบรท์ คอมพลีท วิตามินซี^ แอมพูล เซรั่ม!การรักษาฝ้าด้วยการพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
การรักษาฝ้าด้วยการพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง หรือแพทย์เฉพาะทางเป็นการรักษาแบบตรงจุด และเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะแพทย์จะสามารถเข้าใจถึงปัญหาผิวได้อย่างดี ประเมินปัญหา และช่วยรักษาฝ้าได้อย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล และฝ้าแต่ละประเภท อาจจะรักษาฝ้าโดยการใช้ยารักษาฝ้าโดยตรง รักษาด้วยการเลเซอร์ หรือรักษาด้วยการลอกผิว ซึ่งวิธีที่กล่าวมานั้น ต้องเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะจ๊ะถึงปลอดภัยเคล็ดลับป้องกันการเกิดฝ้า
เมื่อสาวๆ รู้แล้วว่าฝ้าเกิดจากอะไร สามารถรักษาด้วยวิธีไหนได้บ้าง ต่อมาก็ถึงขั้นตอนของการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดฝ้าที่เข้มขึ้น แม้บางปัจจัยเราไม่สามารถควบคุมเองได้อย่างพันธุกรรม ฮอร์โมน แต่ปัจจัยอื่นๆ อย่างการเลี่ยงแสงแดดก็สามารถช่วยลดการเกิดฝ้าได้ ซึ่งยังมีอีกหลายเคล็ดลับที่ป้องกันการเกิดฝ้า ดังนี้ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
ครีมกันแดด เป็นตัวช่วยชีวิตที่สำคัญมาก เพราะใบหน้าเราเจอแสงแดดอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการเลือกใช้ครีมกันประจำทุกวันช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเลือกกันแดดที่มี SPF30+ ขึ้นไปเพื่อป้องกัน UVA และมีค่า PA++ ขึ้นไปเพื่อป้องกัน UVB ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาทีทุกครั้ง เพื่อประสิทธิภาพการป้องกันที่ดีที่สุด
งดการอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน
ทาครีมกันแดดอาจจะยังช่วยได้ไม่มาก ทางป้องกันที่ดีคืองดการอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน เพราะนี่คือสาเหตุของการเกิดฝ้าโดยตรง และควรใช้อุปกรณ์ที่กัน UV ได้ เช่น ร่ม หรือเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติป้องกัน UV การใส่หมวก ใส่แว่นกันแดด ผิวจะได้ไม่โดนแสงโดยตรง ใช้วิธีนี้คู่กับการทาครีมกันแดดก็ช่วยกู้ผิวได้ไม่น้อยเลยหลีกเลี่ยงตัวยาที่ส่งผลต่อการเกิดฝ้า
การเลี่ยงตัวยาที่ทำให้เกิดฝ้าโดยตรงก็เป็นการป้องกันที่ดีที่สุดอีกวิธี อย่างยาที่เกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ในการใช้งานทุกครั้งหากไม่ได้ใช้งานเพื่อการคุมกำเนิด แนะนำสาวๆ ให้งดไปก่อนเลย เพื่อไม่ก่อให้เกิดฝ้าที่ใบหน้าของเราหลีกเลี่ยงการลอกสิวเสี้ยนอย่างรุนแรง
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมมีฝ้าที่จมูกได้ เนื่องจากบริเวณนั้นก็โดนแดดเช่นกัน จึงมีโอกาสเกิดฝ้าได้ และควรหลีกเลี่ยงการลอกสิวเสี้ยนอย่างรุนแรง เพราะผิวจะถูกทำร้าย มีความบางลง เมื่อลอกสิวเสี้ยนแล้วผิวบริเวณนั้นกระทบแสงแดด จึงเกิดฝ้าได้ ทางที่ดีเลี่ยงการลอกสิวเสี้ยนแบบแรงๆไปก่อนนะสาวๆ ผิวจะได้สวยใสไร้ฝ้ากล่าวมายาวขนาดนี้สรุปสั้นเลยละกันว่า…
ฝ้า เป็นปัญหาผิวที่หลายๆ คนหนักใจ และสูญเสียความมั่นใจในการใช้ชีวิต เพราะเกิดขึ้นบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะตรงโหนกแก้ม ซึ่งสาเหตุหลักๆมาจากการโดนแสงแดด และฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง วิธีรักษาฝ้าให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรใช้ครีมบำรุงที่มีสารช่วยรักษาฝ้า เช่น การ์นิเย่ แอมพูล เซรั่ม และควรหลีกเลี่ยงการออกแดดนานๆ ใช้ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิว ก็จะชะลอและลดการเกิดฝ้าได้ดีแบบเห็นผลชัดเจนเลยอ้างอิง
ข้อมูลจาก : Helthline และ American Academy of Dermatology Assosiation*ผิวชั้นนอก
’ฝ้าจากแสงแดด ผลิตภัณฑ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสีผิวและโครงสร้างผิวตามธรรมชาติได้ ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล
^อนุพันธ์วิตามินซี